there is no more addtional stock of this item
อีกไม่นานก็จะเข้าสู่ช่วงปลายปี ซึ่งเป็นช่วงเดินทางท่องเที่ยวของใครหลายคน แต่ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ สายเที่ยวอย่างเราคงได้แต่เที่ยวทิพย์อยู่ที่บ้านวนไปก่อน และเพื่อไม่ให้จิตใจห่อเหี่ยวเกินไปนัก American Tourister อยากชวนคุณก้าวไปสู่โลกของภาพยนตร์ ที่จะพาคุณท่องเที่ยวไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลกโดยไม่ต้องเสียเงินซักบาทเดียว ถ้าพร้อมแล้ว ไปกันเลยยย
ขึ้นชื่อว่าปารีส เมืองหลวงแห่งฝรั่งเศสเมืองนี้งดงามเสมอไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาใด ในยามที่มีแสงแดดเจิดจ้า เมืองที่อบอวลไปด้วยความโรแมนติกอย่างปารีสก็สดใสราวกับคนไม่เคยรู้จักความทุกข์ แต่เมื่อแสงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ความงามที่เปี่ยมด้วยมนตร์เสน่ห์อันลึกลับน่าค้นหาก็เริ่มเผยตัว ที่ไม่ว่าใครก็ต้องหลงใหล รวมถึง Gil นักเขียนนิยายชาวอเมริกันที่บินลัดฟ้ามาปารีสพร้อมคู่หมั้นสาวสวยและครอบครัวของเธอ ฟังดูเหมือนจะดี แต่ทริปนี้กลับไม่เป็นไปตามที่ใจ Gil ต้องการเท่าไหร่นัก ระหว่างที่งงงวยกับชีวิตในปารีสอยู่นั้น ขณะที่นาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืนในคืนหนึ่ง Gil ได้วาร์ปย้อนไปในโลกของปารีสที่ไม่ใช่ปารีสที่เขารู้จัก แต่เป็นปารีสยุค 1920! และย้อนเวลากลับไปอย่างนั้นทุกคืน นอกจากเนื้อหาแฟนตาซีที่ทำให้เราลุ้นไปกับ Gil ทุกคืนแล้ว ผู้กำกับ Woody Allen ยังจูงมือพาเราเที่ยวทั่วปารีสทั้งกลางวันและกลางคืน ทั้ง Pont Nerf สะพานเก่าแก่ข้ามแม่น้ำแซน ซึ่งเป็นโลเคชั่นของโปสเตอร์หลักของหนัง, Le Marche Paul Bert ตลาดนัดของมือสองแสนเก๋, Cremerie-Restaurant Polidor ร้านอาหารเก่าแก่บรรยากาศสุดคลาสสิค เสิร์ฟอาหารฝรั่งเศสแท้รสชาติauthentic และสถานที่น่าตื่นตาตื่นใจอีกมากมายที่ทำให้เราอยากแพลนทริปเที่ยวฝรั่งเศสขึ้นมาทันที
ว่าด้วยเรื่องของประเทศอินเดียและการเดินทางในอินเดียด้วยรถไฟของ 3 พี่น้องเพื่อเดินทางไปหาแม่ หลังจากผ่านพ้นงานศพพ่อได้ครบ 1 ปี แต่ทั้ง 3 คนเป็นพี่น้องที่ไม่สนิทกันและไม่เชื่อใจกันเลย การเดินทางนี้ตั้งใจให้เป็นเหมือนกาวใจเชื่อมทั้งสามให้กลับมาตามหาสิ่งที่หายไปอีกครั้งหนึ่ง ฟังดูอาจจะดราม่าไปนิด แต่ความเป็น Wes Anderson ผู้กำกับคนดังคนนี้ไม่ทำหนังออกมาดราม่าให้เสียอารมณ์ ยังคงความตลกร้ายสไตล์คุณ Wes ที่เราคุ้นเคย ฉากของหนังที่เป็นการเดินทางข้ามเมืองต่างๆ ในอินเดีย บวกกับสีสันและสไตล์ของภาพสุดเก๋ที่เป็นเอกลักษณ์ในหนังทุกเรื่องของ Wes ทำให้เราตกหลุมรักความเป็นอินเดียได้ไม่ยากเลยแหละ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโลเคชั่นหลักของการถ่ายทำหนังเรื่องนี้คือรัฐราชสถาน รัฐทางตอนเหนือของอินเดียที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรมเก่าแก่ และการโดยสารด้วยรถไฟสาย Darjeeling Limited ในหนังเรื่องนี้ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเส้นทางรถไฟของจริงที่มีชื่อว่า Darjeeling Himalayan Railway ซึ่งพานักเดินทางลัดเลาะไปตามเทือกเขาหิมาลัยไปสู่จุดหมายปลายทางคือ Darjeeling เมืองแห่งการปลูกชา ถ้าใครยังไม่คุ้นเคยกับอินเดียและอยากทำความรู้จักให้มากกว่านี้ เราอยากแนะนำให้ดู The Darjeeling Limited แล้วคุณจะตกหลุมรักอินเดียเหมือนเรา
Los Angeles หรือ L.A. คือเมืองหนึ่งในสหรัฐอเมริกาที่นักท่องเที่ยวฝันอยากจะไปเยือนสักครั้งในชีวิต และถูกใช้เป็นฉากหลังทั้งเรื่องของ La La Land เมืองแอลเอในเรื่องนี้ถูกสื่อออกมาในลักษณะของความเป็นเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยแสงสีและความทะเยอทะยานของผู้คนที่ใฝ่ฝันอยากประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่ต่างกับพระเอกและนางเอกที่มีความฝันอยากเป็นเจ้าของคลับแจ๊สและนักแสดง พร้อมทุ่มเททำทุกวิถีทางให้ไปถึงฝัน ส่วนนักท่องเที่ยวทางบ้านอย่างเราจะได้ท่องเที่ยวเมืองแอลเอผ่านบทละครของสองคนนี้ ทั้งหอดูดาว Griffith Observatory สถานที่ท่องเที่ยวอันเป็นเอกลักษณ์ของแอลเอ, The Lighthouse Café คลับแจ๊สของจริงที่เปิดมายาวนานหลายสิบปี, Cathy’s Corner ใน Griffith Park จุดชมวิวมุมสูงที่พระเอกนางเอกโชว์สกิลการเต้นและร้องเพลงในฉากสำคัญฉากหนึ่งของหนัง, Rialto Theatre โรงหนังสุดคลาสสิคที่เป็นสถานที่นัดเดทของทั้งคู่ รวมถึงสถานที่ต่างๆ อีกมากมาย ใครที่ประทับใจหนังเรื่องนี้เตรียมปักหมุดตามรอยแต่ละที่ไว้ตั้งแต่ตอนนี้เลย เปิดประเทศเมื่อไหร่ จัดไป รับรองว่ารูปที่ออกมาสวยปังชัวร์ๆ
ไม่เพียงแต่โลเคชั่นการถ่ายทำจะเชิญชวนให้เราแพ็กกระเป๋าไปเที่ยวตอนใต้ของฝรั่งเศสแต่เพียงเท่านั้น หนังเรื่องนี้ยังกระตุ้นต่อมความอยากอาหารให้อยากกินอาหารฝรั่งเศสและอาหารอินเดียต้นตำรับแบบตอนนี้เดี๋ยวนี้กันเลยทีเดียว เพราะ The Hundred-Food Journey ถ่ายทอดวัฒนธรรมฝรั่งเศสและอินเดียผ่านทางฝีมือการทำอาหารของ 2 ครอบครัวที่เปิดร้านอาหารตรงข้ามกันในเมืองทางตอนใต้ของฝรั่งเศส แต่กลับเป็นไม้เบื่อไม้เมากัน เพราะเจ้าถิ่นอย่างร้านอาหารฝรั่งเศสเจ้าของดาวมิชลิน 1 ดาวก็มุ่งมั่นที่จะเอาดาวมาแปะหน้าร้านเพิ่มอีกดวง ในขณะที่ร้านอาหารอินเดียผู้มาทีหลัง แถมยังไม่ใช่อาหารประจำชาติอีก ต้องพิสูจน์ตัวเองอย่างหนักเพื่อสร้างฝันให้เป็นจริงและอยู่รอดได้ในเมืองเล็กๆของฝรั่งเศสที่ครอบครัวนี้เลือกแล้ว หนังเรื่องนี้ไม่ได้โฟกัสกับการพาคนดูท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆ แต่พาเราไปซึมซับกับการใช้ชีวิตในบรรยากาศชนบทของฝรั่งเศสที่สวยงาม เรียกได้ว่าเป็นอาหารตาให้ดูแล้วอิ่มใจตลอดเรื่องไปกับหนังฟีลกู๊ดเรื่องนี้ และให้เราเรียนรู้วัฒนธรรมการกินของสองทวีปที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว ขอบอกเลยว่าเตรียมเข้าแอปสั่งอาหารและเลือกร้านอาหารฝรั่งเศสและอินเดียไว้ก่อนดูหนังได้เลย ดูจบแล้วต้องได้กดสั่งด่วนๆ แน่นอน
ปิดท้ายด้วยหนังที่มีโลเคชั่นหลักในการถ่ายทำอยู่ในประเทศไทยบ้านเราเอง ที่ทำเอานักท่องเที่ยวทั่วโลกถึงกับเพ้อถึงทริปท่องทะเลไทยไปยังเกาะสวรรค์ที่ห่างไกลผู้คน หนังเรื่องนี้ถ่ายทำที่อ่าวมาหยา เกาะพีพีของไทย โดยเนรมิตอ่าวมาหยาให้กลายเป็นคอมมิวนิตี้ที่รวมนักท่องเที่ยวแบ็คแพ็กเกอร์หัวใจอิสระจากทั่วโลกมาใช้ชีวิตรวมกัน และสุดท้ายเกิดเรื่องราวมากมายในดินแดนยูโทเปียแห่งนี้ ถึงแม้เนื้อหาของหนังจะค่อนข้างหนักไปนิด แต่สิ่งที่คนดูทุกคนติดค้างในใจหลังจากดูหนังจบคือเกาะนี้อยู่ที่ไหน ทำไมสวยเวอร์วังขนาดนี้ ถ้าอยากไปบ้างจะไปยังไง หลังจากหนังเรื่องนี้ออกฉายสู่สายตาคนดูทั่วโลก อ่าวมาหยาติดอันดับแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังลำดับต้นๆ ของไทย ทั้งนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศและจากไทยเองต่างพากันไปเยี่ยมเยือนปีละละกว่าล้านคน แต่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านา อ่าวมาหยาได้ถูกปิดไม่ให้ใครรุกล้ำพื้นที่ เพื่อให้ธรรมชาติได้ฟื้นตัวกลับมาสมบูรณ์หมือนเดิม ปัจจุบันถ้าใครมีทริปท่องทะเลกระบี่และต้องการแวะชมความงามของอ่าวมาหยา สามารถทำได้โดยการมองหาดทรายขาวของอ่าวมาหยาจากบนเรือที่เจ้าหน้าที่อนุญาตให้จอดหลังเชือกกั้นเขต แค่นี้นักท่องเที่ยวรักษ์โลกอย่างเราก็ฟินมากแล้ว และได้แต่หวังว่าธรรมชาติที่สมบูรณ์เต็มร้อยจะกลับคืนสู่อ่าวมาหยาในเร็ววัน